แบบที่ 1 ใช้คำว่า Hvis เริ่มต้นประโยคบอกเล่า
ประโยคย่อยแรก แสดงถึง เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ถ้าฉันรวย....
ประโยคย่อยที่สอง แสดงถึง ผลของเงื่อนไข เช่น ...ฉันจะไปเที่ยวรอบโลก
เมื่อนำประโยคย่อยทั้งสองประโยคมารวมกันแล้ว จะได้ใจความว่า ถ้าฉันรวยฉันจะไปเที่ยวรอบโลก
หลักการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เริ่มต้นประโยคบอกเล่า
1. เขียนคำว่า Hvis เริ่มต้นประโยค จากนั้นต่อด้วยประโยคเงื่อนไขที่กำหนด
2. จากนั้นต่อด้วยประโยคที่แสดงผลของเงื่อนไข โดยให้สลับระหว่างคำกริยา (หรือคำกริยาช่วย) กับประธานของประโยค ยกตัวอย่างเช่น Jeg skal komme. ให้สลับเป็น skal jeg komme. (ประโยคนี้มีโครงสร้างเหมือนกับประโยคคำถาม แต่ไม่ต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ รวมทั้งไม่ต้องใช้เครื่องหมายปรัศนี (?) แต่ให้ใช้เป็นเครื่องหมายมหัพภาค (.) แทน)
3. ต้องมีเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่น ระหว่างประโยคย่อยทั้งสองด้วย
ตัวอย่างการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เริ่มต้นประโยคบอกเล่า
Hvis jeg har fri, skal jeg komme.
ถ้าฉันมีเวลาว่าง ฉันจะมา
Hvis jeg er frisk, skal jeg på jobb.
ถ้าฉันแข็งแรง ฉันจะไปทำงาน
แบบที่ 2 ใช้คำว่า Hvis เชื่อมระหว่างประโยคบอกเล่าทั้งสองเข้าด้วยกัน
ประโยคย่อยแรก แสดงถึง ผลของเงื่อนไข เช่น ฉันจะรักคุณ...
ประโยคย่อยที่สอง แสดงถึง เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ...ถ้าคุณนิสัยดี
เมื่อนำประโยคย่อยทั้งสองประโยคมารวมกันแล้ว จะได้ใจความว่า ฉันจะรักคุณถ้าคุณนิสัยดี
หลักการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เชื่อมระหว่างประโยคบอกเล่าทั้งสองเข้าด้วยกัน
1. เริ่มต้นประโยคด้วยผลของเงื่อนไข จากนั้นต่อด้วยคำว่า hvis
2. จากนั้นต่อด้วยประโยคเงื่อนไขที่กำหนด
ตัวอย่างการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เชื่อมระหว่างประโยคบอกเล่าทั้งสองเข้าด้วยกัน
Jeg kommer hvis jeg har fri.
ฉันจะมา ถ้าฉันมีเวลาว่าง
Jeg skal på jobb hvis jeg er frisk.
ฉันจะไปทำงาน ถ้าฉันแข็งแรง
แบบที่ 3 ใช้คำว่า Hvis เริ่มต้นประโยคปฏิเสธ
ประโยคย่อยแรก แสดงถึง เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ถ้าฉันไม่รวย....
ประโยคย่อยที่สอง แสดงถึง ผลของเงื่อนไข เช่น ...ฉันจะไม่ไปเที่ยวรอบโลก
เมื่อนำประโยคย่อยทั้งสองประโยคมารวมกันแล้ว จะได้ใจความว่า ถ้าฉันไม่รวยฉันจะไม่ไปเที่ยวรอบโลก
หลักการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เริ่มต้นประโยคปฏิเสธ
1. เขียนคำว่า Hvis เริ่มต้นประโยค จากนั้นต่อด้วยประโยคเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งต้องสลับระหว่างคำกริยากับคำว่า ikke ยกตัวอย่างเช่น Jeg har ikke fri. ให้เปลี่ยนเป็น jeg ikke har fri
2. จากนั้นต่อด้วยประโยคด้วยผลของเงื่อนไข โดยให้สลับระหว่างคำกริยา (หรือคำกริยาช่วย) กับประธานของประโยค ยกตัวอย่างเช่น Jeg skal ikke komme. ให้สลับเป็น skal jeg ikke komme. (ประโยคนี้มีโครงสร้างเหมือนกับประโยคคำถาม แต่ไม่ต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ รวมทั้งไม่ต้องใช้เครื่องหมายปรัศนี (?) แต่ให้ใช้เป็นเครื่องหมายมหัพภาค (.) แทน)
3. ต้องมีเครื่องหมาย เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่น ระหว่างประโยคย่อยทั้งสองด้วย
ตัวอย่างการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เริ่มต้นประโยคปฏิเสธ
Hvis jeg ikke har fri, skal jeg ikke komme.
ถ้าฉันไม่มีเวลาว่าง ฉันจะไม่มา
Hvis jeg ikke er frisk, skal jeg ikke på jobb.
ถ้าฉันไม่แข็งแรง ฉันจะไม่ไปทำงาน
แบบที่ 4 ใช้คำว่า Hvis เชื่อมระหว่างประโยคปฏิเสธทั้งสองเข้าด้วยกัน
ประโยคย่อยแรก แสดงถึง ผลของเงื่อนไข เช่น ฉันจะไม่รักคุณ...
ประโยคย่อยที่สอง แสดงถึง เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ...ถ้าคุณนิสัยไม่ดี
เมื่อนำประโยคย่อยทั้งสองประโยคมารวมกันแล้ว จะได้ใจความว่า ฉันจะรักไม่คุณถ้าคุณนิสัยไม่ดี
หลักการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เชื่อมระหว่างประโยคปฏิเสธทั้งสองเข้าด้วยกัน
1. เริ่มต้นประโยคด้วยผลของเงื่อนไข จากนั้นต่อด้วยคำว่า hvis
2. จากนั้นต่อด้วยประโยคเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งต้องทำการสลับระหว่างคำกริยากับคำว่า ikke ยกตัวอย่างเช่น Du har ikke fri. ให้เปลี่ยนเป็น du ikke har fri
ตัวอย่างการเขียนประโยคที่ใช้ Hvis เชื่อมระหว่างประโยคปฏิเสธทั้งสองเข้าด้วยกัน
Jeg kommer ikke hvis jeg ikke har fri.
ฉันจะไม่มา ถ้าฉันไม่มีเวลาว่าง
Jeg skal ikke på jobb hvis jeg ikke er frisk.
ฉันจะไม่ไปทำงาน ถ้าฉันไม่แข็งแรง
หมายเหตุ การนำ Hvis ไปใช้งานนั้นสามารถนำไปใช้ได้หลายรูปแบบ ถ้าหากเปรียบกับภาษาไทยเช่น
ประโยคที่ 1 ถ้าฉันเป็นนก ฉันจะบินไปให้ไกล
ประโยคที่ 2 ฉันจะบินไปให้ไกลถ้าฉันเป็นนก
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเคยเชินและถนัดพูดแบบไหน ก็เลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ
แบบฝึกหัดที่เกี่ยวข้อง
แบบฝึกหัดการใช้ hvis