เรียนภาษานอร์เวย์ออนไลน์

Fordi แปลว่า เพราะ, เนื่องจาก ใช้เชื่อม 2 ประโยคย่อยเข้าด้วยกัน โดยการรวมให้เป็นประโยคเดียวกัน ซึ่ง ประโยคย่อยแรก แสดงถึง  ผลของเงื่อนไข  เช่น  ฉันไปเที่ยวทะเลเป็นประจำ... ประโยคย่อยที่สอง แสดงถึง  เงื่อนไขที่กำหนด  เช่น  ... เพราะ ฉันชอบเล่นน้ำทะเลมาก เมื่อนำประโยคย่อยทั้งสองประโยคมารวมกันแล้ว จะได้ใจความว่า  ฉันไปเที่ยวทะเลเป็นประจำ เพราะ ฉันชอบเล่นน้ำทะเลมาก Derfor แปลว่า ดังนั้น, ฉะนั้น, เพราะฉะนั้น ใช้แสดงความเป็นเหตุเป็นผลของ 2 ประโยคเข้าด้วยกัน โดย ประโยคแรก แสดงถึง  เงื่อนไขที่กำหนด  เช่น   ฉันชอบเล่นน้ำทะเลมาก ประโยคที่สอง แสดงถึง  ผลของเงื่อนไข  เช่น เพราะฉะนั้น ฉันไปเที่ยวทะเลเป็นประจำ   เมื่อนำทั้งสองประโยคมาเขียนเรียงต่อกันแล้ว จะได้ใจความว่า  ฉันชอบเล่นน้ำทะเลมาก เพราะฉะนั้น ฉันไปเที่ยวทะเลเป็นประจำ

Imperativ คือ ประโยคคำสั่งของภาษานอร์เวย์ ซึ่งประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านทำตามที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการ ซึ่งเป็นการให้ปฏิบัติตาม หรือห้ามมิให้ปฏิบัติ โดยการนำคำ Infinitiv มาใช้แต่ตัดตัว e ทิ้ง เช่น

Tidsuttrykk คือ คำแสดงเวลาของภาษานอร์เวย์ โดยแบ่งออกเป็น อดีตกาล ปัจจุบัน และอนาคต เช่น อดีตกาล (Fortid) for en time siden หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา for en måned siden หนึ่งเดือนที่ผ่านมา for to dager siden สองวันที่ผ่านมา for tre uker siden สามสัปดาห์ที่ผ่านมา i morges เมื่อเช้านี้ i går เมื่อวาน i fjor sommer ฤดูร้อนที่ผ่านมา forrige jul คริสต์มาสที่ผ่านมา

Indirekte tale คือ การกล่าวทางอ้อมหรือนำคำพูดของผู้อื่นมาบอกกล่าวอีกที ซึ่งยกตัวอย่าง เช่น spør om แปลว่า ถามว่า svarer at แปลว่า ตอบว่า sier at แปลว่า พูดว่า synes at แปลว่า รู้สึกว่า ตัวอย่างการใช้ Indirekte tale Lisa spør om Maree har lyst til å spise. ลิซ่าถามมารีว่าต้องการรับประทานอะไรไหม Hun svarer at hun er sulten. หล่อนตอบว่าหล่อนหิว Han sier at han har to katter. เขาพูดว่าเขามีแมว 2 ตัว Han sier at han er frisk. เขาพูดว่าเขาแข็งแรง De synes at det er greit. พวกเขารู้สึกว่ามันเยี่ยมมาก

เป็นคำถามที่ต้องการอยากรู้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ หรือทำอาชีพอะไร เช่น ล้างหน้า อาบน้ำ ล้างจาน ทำอาหาร เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นพนักงานขับรถ เป็นต้น

Interjeksjoner คือ คำอุทานของภาษานอร์เวย์ เป็นคำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูดขณะที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ มักจะเป็นคำที่ไม่มีความหมาย แต่เน้นความรู้สึก และอารมณ์ของผู้พูด เสียงที่เปล่งออกมาเป็นคำอุทานนี้ เช่น อุ๊ย! ว้าย! แหม่! ตาย! อ๊ะ!

ปัจจุบันโทรศัพท์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ซึ่งการเรียนภาษานอร์เวย์จากประโยคที่ใช้สนทนาทางโทรศัพท์จะช่วยให้ผู้เรียนติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ค่ะ

Fritiden คือ กิจกรรรมยามว่าง สิ่งที่ทำยามว่าง หรือ งานอดิเรก ซึ่งงานอดิเรกจะเกิดจากความสนใจและความสนุกสนานมากกว่าที่จะได้ผลตอบแทนทางการเงิน ตัวอย่างของงานอดิเรก เช่น การเล่นดนตรี การร้องเพลง การอ่านหนังสือ การเล่นอินเตอร์เน็ต การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา การวาดรูป การปลูกต้นไม้ การเขียนกลอน หรือการสะสมสิ่งต่าง ๆ เช่น แสตมป์ ของที่ระลึก ตัวต่อ ตุ๊กตา เป็นต้น

ตัวอย่างประโยคที่ใช้สนทนาที่ร้านอาหารของการเรียนภาษานอร์เวย์ซึ่่งสามารถนำไปใช้ในกรณีที่ไปรับประทานอาหารในร้านอาหารได้ค่ะ

การเขียนฝากข่าวสารไปยังบุคคลต่างๆ (Beskje)  คือการเขียนโน้ตข้อความต่างๆ เช่น การเขียนถึงเพื่อนเพื่อชวนมางานเลี้ยง การเขียนโน้ตข่าวสารถึงเพื่อนร่วมงาน เมื่อเราต้องการลางานสัก 2 ชั่วโมง การเขียนโน้ตถึงภรรยา/สามี ให้ไปซื้อของแทนให้ โดยติดกระดาษโน้ตไว้ที่ตู้เย็น เขียนโน้ตถึง ภรรยา/สามี ให้ไปรับลูกสาวแทนในตอนเย็นโดยติดกระดาษโน้ตไว้ที่หน้าจอทีวี เป็นต้น

หลักการอ่านเวลาจากนาฬิกานั้นมีดังนี้   1. ขึ้นต้นด้วย Den หรือ Det 2. หากไม่มีจำนวนนาที อ่านว่า  เวลานาฬิกา  ตามปกติ เช่น บ่ายโมง บ่ายสอง หรือ บ่ายสาม เป็นต้น 3. นาทีระหว่าง 1-14 ให้ใช้คำว่า  over  อ่านว่า เ ลยเวลานาฬิกานั้นมาแล้วกี่นาที 4. นาทีที่ 15 ให้ใช้คำว่า  kvart over  อ่านว่า เ ลยเวลานาฬิกานั้นมาแล้ว 15 นาที

การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ผู้ใหญ่เกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้เด็กๆ บางคนก็มีโทรศัพท์มือถือใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารอีกด้วย บางครั้งการโทรศัพท์อาจจะเป็นการรบกวนผู้ที่เราต้องการติดต่อด้วยหากบุคคลดังกล่าวติดธุระหรือยุ่งอยู่ ดังนั้นเราจึงเลือกวิธีการส่งข้อความแทนค่ะ

ภาษานอร์เวย์มีส่วนที่คล้ายคลึงกับภาษาอังกฤษอยู่มาก บางคำเหมือนกับภาษาอังกฤษ บางคำเขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกัน รวมทั้งบางคำเขียนต่างกันแต่ออกเสียงคล้ายหรือเหมือนกัน ซึ่งวิธีการเรียนภาษานอร์เวย์ให้ได้ผลมีวิธีการดังนี้ค่ะ

คนนอร์เวย์นิยมเขียนการ์ดเนื่องในโอกาสต่างๆ เช่น การเขียนการ์ดเพื่ออวยพรในวันครบรอบวันเกิด การเขียนการ์ดอวยพรในวันคริสต์มาสหรือปีใหม่เพื่อส่งให้กับญาติพี่น้องหรือเพื่อนๆ การเขียนการ์ดให้กับเจ้าบ้านเมื่อเราได้รับเชิญไปรับประทานค่ำที่บ้านของเขา เป็นต้น

สำหรับผู้ที่ย้ายมาอยู่นอร์เวย์ทุกคนต่างรู้ดีว่าภาษานอร์เวย์เป็นสิ่งสำคัญมากหากจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ฉะนั้นทุกคนจำเป็นต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนภาษานอร์เวย์ ซึ่งปัจจุบันต้องเรียนให้ครบ 550 ชั่วโมงตามที่กฎหมายได้ระบุไว้ รวมทั้งยังต้องเรียนสังคมอีก 50 ชั่วโมงอีกด้วย หลังจากร่ำเรียนภาษาแล้วก็จะต้องสอบซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมาก การสอบภาษานอร์เวย์มีตั้งแต่ระดับ A1-A2 (Norskprøve 2), A2-B1 (Norskprøve 3) ไปจนถึง B1-C1 (Bergenstest) และ C2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตรฐาน Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) ที่แสดงถึงความสามารถทางภาษาที่ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาในด้านการพูด การเขียน การฟัง และการอ่าน วันนี้ขออธิบาย ระดับ A1-A2 (Norskprøve 2) ก่อนค่ะ

เตรียมความพร้อมการลงสอบสนามจริง การสอบวัดระดับภาษานอร์เวย์ ประกอบด้วยดังนี้ค่ะ

การใช้ Når และ Da เพื่อเชื่อมประโยคนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนี้ Når แปลว่า เมื่อ ใช้ในประโยคย่อย (leddsetninger) โดยใช้กับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำๆ เป็นปกติ หรือ เหตุการณ์ในอนาคต Da แปลว่า เมื่อ  ใช้ในประโยคย่อย (leddsetninger) โดยใช้กับเหตุการณ์ในอดีตกาลที่เกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง โดยกล่าวถึงเพียงแค่ครั้งนั้นเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ

En vanlig dag เป็นการบอกเล่าถึงกิจกรรมที่ทำเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นนอน อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ทำอาหาร ไปโรงเรียน หรือไปทำงาน เป็นต้น สามารถเลือกฟังเสียงของแต่ละประโยคได้โดยการใช้เม้าส์ชี้ที่รูปลำโพงค่ะ

หลักการอ่าน วันที่ เดือน และปี 1. วันที่ ให้อ่านแบบเลขลำดับ 2. เดือน สามารถอ่านได้ทั้งแบบเลขลำดับ หรือ ชื่อเดือน 3. ปี ให้อ่านแบบเลขจำนวนนับ โดยแยกออกเป็นคู่ เช่น 1990 แยกเป็น 19 กับ 90 หรืออ่านแบบเต็มจำนวน เช่น 2015 4. ในกรณีที่อ่านเดือนเป็นเลขลำดับ ให้ใช้ i คั่นระหว่างวันกับเดือนด้วย

คำถามของภาษานอร์เวย์มีดังนี้ค่ะ Hva อะไร ใช้ต้องการถามถึงว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คืออะไร เปรียบเสมือน what ในภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น Hva heter du? คุณชื่ออะไร Hva sier du? คุณพูดว่าอะไร

การเขียนป้ายประกาศข่าวสาร (En lapp)  คือ การเขียนประกาศข่าวสารตามที่เราต้องการ เช่น ประกาศตามหาสุนัขที่หายไป ประกาศตามหานาฬิกาที่หายไป หรือประกาศตามหาจักรยานที่หายไปเมื่อตอนเราไปห้องสมุด เป็นต้น โดยการติดประกาศนั้น อาจจะติดไว้ที่บอร์ดประกาศข่าวสารของห้องสมุด ติดไว้ตามโรงเรียน หรือ ติดไว้ตามเสาไฟฟ้า เป็นต้น

หลักการใช้ Ja, Jo, Nei ดังนี้         Ja แปลว่า ใช่ ซึ่งใช้ในการตอบรับหรือตอบตกลงสำหรับการตอบของ ประโยคคำถามที่ปกติ (ประโยคคำถามที่ไม่เป็นประโยคปฏิเสธ)         Jo แปลว่า ใช่ ซึ่งใช้ในการตอบรับหรือตอบตกลงสำหรับการตอบของ ประโยคคำถามที่เป็นประโยคปฏิเสธ (ประโยคคำถามที่มีคำว่า ikke)         Nei แปลว่า ไม่ใช่ ซึ่งใช้ในการตอบปฎิเสธหรือไม่ตกลงสำหรับการตอบของประโยคคำถาม